Skip to content
Login
0

ทุกครั้งที่คุณเข้าห้องน้ำ เคยสังเกตอุจจาระในโถสุขภัณฑ์กันบ้างไหม? บางคนอาจจะแค่ทำธุระให้เสร็จแล้วรีบลุกออกไป แต่รู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ถูกขับถ่ายออกมานั้น ไม่ใช่แค่ของเสียธรรมดา ๆ แต่มันคือ "หน้าต่าง" ที่สะท้อนให้เห็นถึงสุขภาพภายในร่างกายของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุขภาพของลำไส้

โดยสีและรูปร่างของอุจจาระที่เราเห็นในแต่ละวันนั้น สามารถบอกเล่าเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร พฤติกรรมการกิน หรือแม้กระทั่งสัญญาณเตือนของโรคร้ายบางอย่างได้ด้วยซ้ำ การละเลยที่จะสังเกตความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ อาจทำให้เราพลาดโอกาสในการป้องกันหรือแก้ไขปัญหาสุขภาพที่กำลังจะเกิดขึ้น หากคุณไม่เคยใส่ใจในเรื่องนี้เลย วันนี้ถึงเวลาแล้วที่จะมาทำความรู้จักกับอุจจาระให้มากขึ้น เพราะการสังเกตง่าย ๆ เพียงไม่กี่วินาที อาจช่วยให้คุณเข้าใจร่างกายตัวเองได้ดีขึ้น และช่วยให้คุณมีสุขภาพลำไส้ที่ดีไปได้ในระยะยาว

สีอุจจาระและความหมายที่ซ่อนอยู่

สีของอุจจาระนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้หลายเฉด ขึ้นอยู่กับอาหารที่กิน, การดูดซึมสารอาหาร, และภาวะสุขภาพบางอย่าง หากอุจจาระมีสีที่ผิดปกติไปจากเดิม ควรลองสังเกตและพิจารณาว่าเกิดจากอะไรได้บ้าง

  • สีน้ำตาล สีมาตรฐานของความสุขภาพดี

อุจจาระสีน้ำตาลเป็นสีที่ถือว่าปกติและแสดงถึงการทำงานที่ดีของระบบย่อยอาหาร สีนี้เกิดจากสาร bilirubin ซึ่งเป็นการสลายของเม็ดเลือดแดงเก่าในร่างกาย เมื่อร่างกายทำงานปกติ สารนี้จะถูกแปรรูปในตับและปล่อยออกมาผ่านน้ำดี ทำให้อุจจาระมีสีน้ำตาลธรรมชาติ ความเข้มของสีอาจแปรผันตั้งแต่น้ำตาลอ่อนไปจนถึงน้ำตาลเข้ม ขึ้นอยู่กับอาหารที่บริโภคและปริมาณน้ำดีที่หลั่งออกมา

  • สีเขียว สัญญาณของการเคลื่อนที่เร็วเกินไป

อุจจาระสีเขียวอาจเป็นผลมาจากหลายสาเหตุ เช่น อาจเป็นเพราะกินอาหารที่มีคลอโรฟิลล์สูง เช่น ผักใบเขียว หรืออาหารที่มีสีผสมอาหารสีเขียวเป็นจำนวนมาก แต่อีกสาเหตุหนึ่งคือการติดเชื้อในลำไส้ หรือการที่อาหารเคลื่อนผ่านลำไส้เร็วเกินไป ทำให้น้ำดีไม่มีเวลาเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาล หากสีเขียวปรากฏต่อเนื่องโดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาหาร อาจบ่งชี้ถึงปัญหาการติดเชื้อหรือการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร

  • สีเหลือง เตือนภัยจากตับและถุงน้ำดี

อุจจาระสีเหลืองหรือสีเหลืองซีด อาจบ่งบอกถึงภาวะขาดน้ำ, การย่อยอาหารไม่สมบูรณ์ หรือภาวะที่ร่างกายมีไขมันมากเกินไป โดยเฉพาะหากอุจจาระมีกลิ่นเหม็นผิดปกติและมีความมันลอยอยู่บนผิวน้ำ ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะที่เรียกว่า Steatorrhea สัญญาณเตือนที่สำคัญที่แสดงถึงปัญหาของตับ ถุงน้ำดี หรือตับอ่อน สีเหลืองเกิดจากไขมันที่ไม่ได้รับการย่อยสลายอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากการทำงานของน้ำดีที่ผิดปกติ หากพบอุจจาระสีเหลืองติดต่อกันเกิน 2 วัน ควรปรึกษาแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคตับ การอุดตันของท่อน้ำดี หรือปัญหาตับอ่อน

  • สีดำ เตือนภัยการเลือดออกภายใน

อุจจาระสีดำหรือดำคล้ำ (เรียกว่า melena) เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ร้ายแรง มักบ่งชี้ถึงการมีเลือดออกในส่วนบนของทางเดินอาหาร เช่น กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็กส่วนต้น เลือดที่ผ่านกระบวนการย่อยจะเปลี่ยนเป็นสีดำ อย่างไรก็ตาม สาเหตุของอุจจาระสีดำไม่ได้มีเพียงปัญหาทางการแพทย์ที่ร้ายแรงเท่านั้น แต่อาจเกิดจากปัจจัยอื่น เช่น การกินยาเสริมธาตุเหล็ก ยา bismuth หรือการกินอาหารสีเข้ม ไม่ว่าจะเป็นตับ ข้าวเหนียวดำ ลูกหม่อน ช็อกโกแลต หรือยาแก้ท้องเสียก็อาจทำให้อุจจาระมีสีดำได้ 

  • สีแดง สัญญาณเลือดในระบบย่อยอาหาร

สีแดงในอุจจาระเป็นสัญญาณที่ต้องให้ความสนใจอย่างจริงจัง อาจเกิดจากการมีเลือดปนในอุจจาระ ซึ่งสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ริดสีดวงทวาร การอักเสบของลำไส้ใหญ่ หรือแผลในกระเพาะอาหาร อย่างไรก็ตาม บางครั้งสีแดงอาจมาจากอาหารที่มีสีแดงธรรมชาติ เช่น บีทรูท มะเขือเทศ หรือผลไม้สีแดง การแยกแยะระหว่างเลือดจริงกับสีจากอาหารจึงเป็นเรื่องสำคัญ

  • สีขาวหรือซีดจัด ปัญหาร้ายแรงของน้ำดี

อุจจาระสีขาว เทา หรือซีดจัดเป็นสัญญาณของปัญหาร้ายแรงที่ต้องรีบพบแพทย์ทันที เกิดจากการขาดน้ำดี ซึ่งอาจเป็นผลจากการอุดตันของท่อน้ำดี โรคตับ หรือปัญหาถุงน้ำดี สีขาวหรือเทาบ่งบอกว่าน้ำดีไม่สามารถไหลลงสู่ลำไส้ได้ตามปกติ ซึ่งอาจส่งผลต่อการย่อยไขมันและการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน

ลักษณะของอุจจาระ บอกอะไรได้บ้าง?

นอกจากสีแล้ว รูปร่างของอุจจาระก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยใช้ Bristol Stool Chart เป็นแนวทางในการสังเกต ซึ่งแบ่งลักษณะของอุจจาระออกเป็น 7 ประเภท

(photo credit : GoodRX Health)

  • ประเภทที่ 1: ลักษณะเป็นก้อนเล็ก ๆ แข็งและแยกออกจากกันคล้ายเม็ดกระสุน เป็นสัญญาณของการ ท้องผูกอย่างรุนแรง

  • ประเภทที่ 2: ลักษณะเป็นก้อนยาวขรุขระเหมือนไส้กรอก มีการรวมตัวกันของก้อนเล็ก ๆ เป็นสัญญาณของ ท้องผูก

  • ประเภทที่ 3: ลักษณะเป็นก้อนยาวเหมือนไส้กรอก มีรอยแตกที่ผิวหน้า ถือเป็น ปกติ

  • ประเภทที่ 4: ลักษณะเป็นก้อนยาวเรียบเนียนเหมือนงูหรือไส้กรอก ถือเป็น ปกติและดีที่สุด

  • ประเภทที่ 5: ลักษณะเป็นก้อนเล็ก ๆ นุ่มและแยกออกจากกัน เป็นสัญญาณของ อาการท้องเสียเล็กน้อย

  • ประเภทที่ 6: ลักษณะเป็นก้อนนุ่ม ๆ เละ ๆ ขอบไม่ชัด เป็นสัญญาณของ อาการท้องเสีย

  • ประเภทที่ 7: ลักษณะเป็นของเหลว ไม่มีก้อนแข็งเลย เป็นสัญญาณของ ท้องเสียอย่างรุน

สัญญาณเตือนปัญหาสุขภาพลำไส้ที่ควรเฝ้าระวัง

การสังเกตความเปลี่ยนแปลงของอุจจาระอย่างสม่ำเสมอ สามารถช่วยให้เราพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ หากคุณพบว่ามีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยอย่างละเอียด

  • การเปลี่ยนแปลงในลักษณะอุจจาระ หากอุจจาระมีรูปร่างที่เรียวยาวคล้ายดินสออย่างต่อเนื่อง อาจเป็นสัญญาณของเนื้องอกหรือการตีบตันในลำไส้ใหญ่

  • การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการขับถ่าย การที่ขับถ่ายบ่อยขึ้นหรือน้อยลงอย่างผิดปกติและต่อเนื่อง โดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน เช่น การเปลี่ยนอาหาร

  • อาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของกลุ่มอาการลำไส้แปรปรวน (IBS) หรือโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับลำไส้

  • การขับถ่ายมีเลือดปน การมีเลือดสดปนออกมาอาจบ่งบอกถึงริดสีดวงทวารหรือเลือดออกในลำไส้ใหญ่ แต่หากเลือดมีสีคล้ำหรือดำ อาจเป็นสัญญาณของเลือดออกในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนบน

  • น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ หากมีอาการเหล่านี้ร่วมกับความผิดปกติของอุจจาระ อาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรง เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่

  • การประเมินความชื้นและความหนืด ความชื้นของอุจจาระสะท้อนถึงการดูดซึมน้ำในลำไส้ใหญ่ อุจจาระที่แห้งเกินไปแสดงถึงการดูดซึมน้ำมากเกินไปหรือขาดน้ำในร่างกาย ในทางตรงกันข้าม อุจจาระที่เป็นน้ำมากแสดงถึงการที่ลำไส้ไม่สามารถดูดซึมน้ำได้เพียงพอ อาจเกิดจากการติดเชื้อ การอักเสบ หรือปัญหาการทำงานของลำไส้

  • กลิ่นและความผิดปกติ แม้กลิ่นของอุจจาระจะไม่เป็นที่พอใจตามธรรมชาติ แต่การเปลี่ยนแปลงกลิ่นอย่างผิดปกติอาจบ่งชี้ถึงปัญหา กลิ่นเหม็นผิดปกติหรือกลิ่นเหม็นหืนอาจแสดงถึงการติดเชื้อ การมีเลือดปน หรือปัญหาการย่อยอาหาร การมีมูกหรือเลือดปนในอุจจาระก็เป็นสัญญาณที่ต้องให้ความสนใจ

วิธีดูแลตัวเอง เพื่อสุขภาพที่ดีของลำไส้

การมีสุขภาพลำไส้ที่ดีนั้น ไม่ใช่เรื่องยากเลย หากเราใส่ใจและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสม

  1. กินอาหารที่มีใยอาหารสูง ใยอาหารเป็นอาหารของแบคทีเรียดีในลำไส้ (Probiotics) และช่วยให้อุจจาระมีขนาดใหญ่ขึ้นและอ่อนนุ่ม ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น พบในผัก, ผลไม้, ธัญพืชไม่ขัดสี และถั่วต่าง ๆ

  2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน จะช่วยให้อุจจาระไม่แข็งตัวและเคลื่อนที่ในลำไส้ได้ดีขึ้น 

  3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ การเดินเพียง 30 นาทีต่อวัน ก็สามารถช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบย่อยอาหารได้ การหลีกเลี่ยงการนั่งนานเกินไปและการลุกเดินเป็นระยะจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนและการทำงานของลำไส้

  4. จัดการกับความเครียด ความเครียดมีผลโดยตรงต่อการทำงานของระบบย่อยอาหาร การฝึกการผ่อนคลาย การทำสมาธิ การนอนหลับให้เพียงพอ และการจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้ดีขึ้น

  5. ไม่กลั้นอุจจาระ การสร้างนิสัยการเข้าห้องน้ำเป็นเวลา การไม่อั้นการขับถ่าย และการนั่งในท่าที่เหมาะสม เช่น การยกเท้าให้สูงขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้ลำไส้อยู่ในตำแหน่งที่เอื้อต่อการขับถ่าย จะช่วยให้การขับถ่ายเป็นไปอย่างราบรื่น

เมื่อคุณอ่านมาถึงตรงนี้คงทราบแล้วใช่มั้ยล่ะคะว่า การสังเกตอุจจาระในแต่ละวันนั้น ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายหรือน่ารังเกียจ แต่เป็นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญ เพราะมันคือสัญญาณเตือนที่ร่างกายส่งมาบอกเรา การใส่ใจกับความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในเรื่องของสี, รูปร่าง และความถี่ในการขับถ่าย จะช่วยให้เราสามารถป้องกันและรับมือกับปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ 

จำไว้ว่าร่างกายของเราพูดได้ หากเราเรียนรู้ที่จะฟัง ครั้งต่อไปที่คุณเข้าห้องน้ำ ลองใช้เวลาสักนิดเพื่อสังเกต "ของเสีย" ที่ร่างกายขับออกมา เพราะสีและลักษณะของอุจจาระ อาจเป็นหนึ่งในภาษาที่สำคัญ ที่ร่างกายต้องการสื่อสารกับคุณ การเข้าใจและให้ความสนใจกับสัญญาณเหล่านี้ จะช่วยให้คุณจะเข้าใจร่างกายตัวเองได้ดีขึ้น และมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ

อ้างอิง 

https://www.healthline.com/health/digestive-health/types-of-poop#color-guide

https://my.clevelandclinic.org/health/articles/stool-poop-color

https://www.medicalnewstoday.com/articles/320938#normal-poop

https://www.goodrx.com/well-being/gut-health/bristol-stool-chart

 

Cart

Your cart is currently empty.

Start Shopping

Select options