Skip to content
Login
0

ทุกวันนี้ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า "อาหาร" ได้กลายมาเป็นมากกว่าแค่เรื่องของความอิ่มท้อง แต่คือส่วนสำคัญของไลฟ์สไตล์ที่เราเลือก หลายคนหันมาใส่ใจมากขึ้นว่าเราควรกินหรือควรไม่กินอะไรดี ไม่ใช่แค่เพื่อรูปร่างที่ดูดี แต่เพื่อสุขภาพโดยรวมที่แข็งแรงและยั่งยืน ซึ่งนำไปสู่เทรนด์สุขภาพที่มาแรงที่สุดในยุคนี้ นั่นคือ "Gut Health" หรือ สุขภาพลำไส้

จากที่เคยเป็นเรื่องเฉพาะทาง ตอนนี้สุขภาพลำไส้ได้กลายเป็นคำที่คนทั่วไปพูดถึงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในวงการแพทย์ โภชนาการ ไปจนถึงโซเชียลมีเดีย สุขภาพลำไส้กลายเป็นหัวข้อที่ทุกคนให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะจากการศึกษาในปัจจุบันพบว่า ลำไส้ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ย่อยและดูดซึมสารอาหารเท่านั้น แต่เปรียบเสมือน “สมองที่สอง” ของร่างกาย (Second Brain) อีกทั้งยังมีอิทธิพลมหาศาลต่อระบบการทำงานของร่างกายทั้งหมด ตั้งแต่ระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงไปจนถึงสุขภาพจิตที่ดีด้วย

โดยบทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงความสำคัญของ "Gut Health" ว่าทำไมถึงมีผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจของเรามากขนาดนั้น? และที่สำคัญที่สุดคือ เราจะดูแลลำไส้ของเราให้แข็งแรงได้อย่างไร? เตรียมตัวให้พร้อมแล้วตามมาดูกันเลย

Gut Health คืออะไร?

Gut Health หรือ สุขภาพลำไส้ ไม่ได้หมายถึงแค่การที่ลำไส้ของเราทำงานได้ปกติ แต่เป็นภาวะที่ระบบนิเวศน์ในลำไส้ (Gut Microbiome) มีความสมดุล โดยมีจุลินทรีย์ชนิดดีมากกว่าชนิดไม่ดี ทำงานร่วมกับระบบประสาทของลำไส้ (Enteric Nervous System) และผนังลำไส้ที่แข็งแรง (Intestinal Barrier) เพื่อให้การย่อยอาหาร การดูดซึมสารอาหาร และการขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

สุขภาพลำไส้ที่ดีจึงไม่ใช่แค่เรื่องของระบบย่อยอาหาร แต่เป็นหัวใจสำคัญที่เชื่อมโยงกับระบบต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ทั้งภูมิคุ้มกัน และการสื่อสารกับสมองผ่านสิ่งที่เรียกว่า Gut-Brain Axis ซึ่งเป็นระบบที่เชื่อมโยงระหว่างลำไส้กับสมองผ่านเส้นประสาทวากัส (Vagus nerve) และสารสื่อประสาทต่าง ๆ 

สุขภาพลำไส้ที่ดี (Gut Health) มีลักษณะอย่างไร?

โดยปกติแล้วลำไส้จะประกอบไปด้วยจุลินทรีย์ และแบคทีเรียหลากหลายชนิด ซึ่งมีทั้งแบบที่เป็นแบคทีเรียดี และแบบที่เป็นอันตราย โดยสุขภาพลำไส้ที่ดีนั้นต้องประกอบด้วยแบคทีเรียที่ดี และมีความแข็งแรงมากกว่าแบคทีเรียที่ไม่ดี และต้องไม่ให้แบคทีเรียที่ไม่ดีเพิ่มจำนวนจนแซงหน้าแบคทีเรียที่ดีได้ จึงจะเรียกได้ว่ามีสุขภาพลำไส้ที่ดี ซึ่งจะนำไปสู่สุขภาพที่ดีตามมาด้วย 

ซึ่งสุขภาพลำไส้ที่ดีจะสะท้อนออกมาในหลากหลายด้านของร่างกาย ดังนี้

  • ระบบย่อยอาหารทำงานปกติ ไม่มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย หรือท้องผูกบ่อย ๆ การขับถ่ายเป็นเวลาและมีลักษณะที่ดี

  • อารมณ์และจิตใจแจ่มใส มีความเครียดและอาการวิตกกังวลลดลง เพราะลำไส้ผลิตสารสื่อประสาทสำคัญ เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) ที่ช่วยควบคุมอารมณ์และความรู้สึก

  • ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ไม่ป่วยง่าย เพราะกว่า 70-80% ของเซลล์ภูมิคุ้มกันอยู่ในลำไส้

  • ผิวพรรณสดใส ปัญหาสิว ผื่น หรืออาการอักเสบของผิวลดลง เนื่องจากลำไส้ที่สมดุลช่วยลดการอักเสบทั่วร่างกาย

  • ควบคุมน้ำหนักได้ดี การทำงานของจุลินทรีย์ในลำไส้ส่งผลต่อการเผาผลาญและการสะสมไขมันของร่างกาย

ปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพของลำไส้ (Gut Health)

สุขภาพลำไส้ของเราได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย ทั้งจากภายในและภายนอกร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น

  • อาหารและโภชนาการ อาหารเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อ Gut Health โดยตรง

    • ใยอาหาร (Fiber) เป็นอาหารของแบคทีเรียดี ช่วยผลิต SCFAs ที่มีประโยชน์

    • อาหารหมัก (Fermented Foods) เช่น โยเกิร์ต, คีเฟอร์, กิมจิ, มิโซะ ให้โพรไบโอติกส์ธรรมชาติ

    • โพรไบโอติกส์และพรีไบโอติกส์ ช่วยเพิ่มแบคทีเรียดีและเลี้ยงแบคทีเรียที่มีประโยชน์

    • อาหารที่หลากหลาย การกินอาหารที่มีความหลากหลายช่วยสร้างความหลากหลายของจุลินทรีย์

  • ยาและสารเคมี

    • ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) ทำลายทั้งแบคทีเรียเสียและแบคทีเรียดี

    • ยาลดกรด (Proton Pump Inhibitors) เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในลำไส้

    • สารเคมีในอาหาร สารกันบูด, สีผสมอาหาร, สารให้ความหวานเทียม

  • การใช้ชีวิตและพฤติกรรม

    • การออกกำลังกาย ส่งเสริมความหลากหลายของจุลินทรีย์และการไหลเวียนของเลือด

    • การนอนหลับ มีผลต่อ Circadian Rhythm ของจุลินทรีย์

    • การจัดการความเครียด ความเครียดเรื้อรังจะส่งผลเสียต่อสมดุลของจุลินทรีย์

  • ปัจจัยสิ่งแวดล้อม

    • มลพิษทางอากาศ สามารถเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของจุลินทรีย์

    • การสัมผัสกับธรรมชาติ การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายเพิ่มความหลากหลายของจุลินทรีย์

สัญญาณของลำไส้ที่ไม่แข็งแรง

ร่างกายมักจะส่งสัญญาณเตือนเมื่อลำไส้ของเรามีปัญหา ซึ่งสัญญาณเหล่านี้อาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงอาการเล็กน้อย แต่เมื่อลำไส้เกิดความผิดปกติ หรือเริ่มไม่แข็งแรง จะสามารถสังเกตอาการได้ดังนี้

  • ท้องเสียเป็นประจำ หากลำไส้ไม่สมดุล จะทำให้มีปัญหาในการดูดซึมสารอาหาร และกำจัดของเสียออกจากร่างกาย ส่งผลให้เกิดอาการท้องเสียเป็นประจำ รวมถึงมีอาการท้องอืด ท้องผูก แน่นท้อง และแสบร้อนท้องอยู่บ่อย ๆ 

  • ติดอาหารรสหวาน การกินอาหารหวานบ่อย ๆ ทำให้จุลินทรีย์ และแบคทีเรียดีในลำไส้ลดลง เมื่อจุลินทรีย์ในลำไส้เกิดความผิดปกติ ก็จะยิ่งส่งผลให้รู้สึกอยากกินอาหารหวานมากขึ้น ซึ่งการกินอาหารที่มีน้ำตาลในปริมาณมาก จะทำให้สุขภาพลำไส้แย่ลงกว่าเดิม อาจทำให้เกิดอาการอักเสบทั่วร่างกายเพิ่มขึ้น ซึ่งการอักเสบนี้สามารถก่อให้เกิดโรคได้หลายชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคปอด โรคหัวใจ โรคไต โรคหลอดเลือดในสมอง โรคอ้วน รวมถึงมะเร็งด้วย

  • น้ำหนักเพิ่มหรือลดลงอย่างเฉียบพลัน หากมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น หรือลดลงโดยที่ไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การกินอาหาร หรือออกกำลังกาย อาจเป็นสัญญาณของลำไส้ไม่แข็งแรง ซึ่งลำไส้ที่ไม่สมดุลอาจทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้น้อยลง เช่น การดูดซึมสารอาหาร (ภาวะลำไส้รั่ว - Leaky gut syndrome) การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และการกักเก็บไขมัน เป็นต้น สำหรับผู้ที่มีปัญหาน้ำหนักลดลง อาจเกิดจากการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในลำไส้เล็กมากเกินไป จึงทำให้ดูดซึมสารอาหารได้ไม่เต็มที่ ส่วนในผู้ที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นนั้น อาจเกิดจากการดื้ออินซูลิน หรือการอักเสบที่เพิ่มขึ้น จึงมีปัญหาในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และทำให้น้ำหนักเพิ่มได้

  • มีปัญหาการนอนไม่หลับ อ่อนเพลีย ฮอร์โมนเซโรโทนิน (Serotonin) ที่ถูกผลิตจากลำไส้เป็นหลักนั้น มีหน้าที่ในการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทภายในสมอง และยังมีความสัมพันธ์กับอารมณ์ ความรู้สึก และการนอนหลับด้วย เมื่อลำไส้เกิดความผิดปกติ การผลิตฮอร์โมนเซโรโทนินจึงไม่สมดุล เกิดเป็นปัญหาการนอนหลับยาก หรือนอนไม่หลับ จนทำให้เหนื่อยสะสม และอ่อนล้า อีกทั้งยังส่งผลให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกในแง่ลบอีกด้วย เช่น เกิดความหงุดหงิด และความเครียด เป็นต้น

  • มีอาการระคายเคืองผิวหนัง ลำไส้ที่ไม่แข็งแรงอาจเกิดการบวม หรืออักเสบเพิ่มขึ้น จนทำให้จุลินทรีย์ แบคทีเรีย หรือสารบางชนิดรั่วไหลออกมาจากลำไส้ แล้วไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย จึงทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนังได้

  • ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่อง มีงานศึกษาจำนวนมากพบความเชื่อมโยงระหว่างระบบลำไส้กับระบบภูมิคุ้มกัน โดยลำไส้ที่ไม่แข็งแรงอาจเพิ่มการอักเสบ และเปลี่ยนแปลงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาจนำไปสู่โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือการที่ระบบภูมิคุ้มกันเข้าใจผิดว่าเซลล์ และเนื้อเยื่อของตัวเองเป็นเชื้อโรคอันตราย จึงทำให้เกิดการทำลายเซลล์เหล่านี้จนทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง

  • การแพ้อาหาร หากมีลำไส้ที่ไม่ดี จะส่งผลให้ประสิทธิภาพการย่อยอาหารลดลงไปด้วย จนนำไปสู่การแพ้อาหารจากการที่ย่อยอาหารบางชนิดได้ยาก ทำให้มีอาการคลื่นไส้ ท้องอืด ท้องเสีย และปวดท้องตามมา

วิธีการดูแลลำไส้ ให้สุขภาพดีและแข็งแรง

หากสุขภาพเริ่มไม่แข็งแรงจากการที่ลำไส้เกิดความผิดปกติ สามารถใช้วิธีฟื้นฟูเหล่านี้ เพื่อคืนความสมดุลให้ลำไส้ และส่งเสริมให้ร่างกายมีสุขภาพที่ดีอีกครั้ง

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ เป็นวิธีฟื้นฟูลำไส้ที่ใคร ๆ ก็สามารถทำได้ เพราะน้ำเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างไมโครไบโอม (microbiome) ในลำไส้ โดยมีงานวิจัยระบุไว้ว่า การดื่มน้ำจากแหล่งน้ำดื่มต่าง ๆ นั้น ส่งผลต่อความหลากหลายของจุลินทรีย์ในลำไส้ โดยผู้ที่ดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอจะมีแบคทีเรียที่ไม่ดีน้อยกว่า และผู้ที่ดื่มน้ำน้อยนั้นพบว่ามีเชื้อแบคทีเรียที่สามารถก่อโรคได้จำนวนมากกว่า ดังนั้น การดื่มน้ำให้เพียงพอก็สามารถส่งเสริมสุขภาพโดยรวม และยังสามารถช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย

  • กินอาหารที่มีประโยชน์ เพราะอาหารและสุขภาพลำไส้มีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด ดังนั้นจึงแนะนำให้กินอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารที่มีไขมันสูง และอาหารที่มีน้ำตาลสูง เนื่องจากอาหารเหล่านี้อาจเพิ่มการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ไม่ดี และสร้างความเสียหายให้กับลำไส้ได้ โดยแนะนำให้กินอาหารที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ เพื่อบำรุงสุขภาพลำไส้ เช่น

    • ถั่วและธัญพืชต่าง ๆ เช่น ถั่วดำ อัลมอนด์ ข้าวโอ๊ต

    • ผักที่มีไฟเบอร์สูง เช่น บรอกโคลี หน่อไม้ฝรั่ง

    • อาหารหมักดอง เช่น กิมจิ กะหล่ำปลีดอง โยเกิร์ต

    • ผลไม้ เช่น แอปเปิล ลูกพีช

    • อาหารที่อุดมด้วยคอลลาเจน เช่น น้ำซุปกระดูก หนังปลาแซลมอน

  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะการนอนหลับมีผลต่อสุขภาพอย่างยิ่ง หากนอนหลับไม่เพียงพอ หรือการนอนไม่มีคุณภาพพอ อาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพลำไส้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อสุขภาพลำไส้ไม่ดี จะยิ่งส่งผลให้เกิดปัญหาการนอนหลับเพิ่มมากขึ้นอีก ดังนั้น ควรนอนหลับอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 7–8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายในระบบลำไส้

  • ลดระดับความเครียด เมื่อเกิดความเครียดสูง ร่างกายจะปล่อยฮอร์โมนบางชนิดออกมา ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้ส่งผลเสียต่อร่างกายในหลาย ๆ ด้าน ทั้งสุขภาพของลำไส้ รวมไปถึงสุขภาพจิตอีกด้วย ดังนั้น วิธีฟื้นฟูลำไส้ที่แนะนำคือให้ลดระดับความเครียด โดยสามารถหากิจกรรมทำเพื่อช่วยคลายความเครียดลงได้ เช่น เดินเล่น, นั่งสมาธิ, อ่านหนังสือ หรือออกกำลังกายเบา ๆ  เป็นต้น

  • เคี้ยวอาหารให้ละเอียด การเคี้ยวอาหารให้ละเอียด และกินอาหารให้ช้าลง จะช่วยให้ทางเดินอาหารไม่ทำงานหนักมากเกินไป และช่วยรักษาสุขภาพลำไส้ให้แข็งแรง นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วน และโรคเบาหวานได้ เพราะการเคี้ยวอาหารให้ละเอียดจะช่วยให้รู้สึกอิ่มไวมากขึ้น และทำให้กินอาหารได้น้อยลง

  • ตรวจสอบอาการแพ้อาหาร ลองสังเกตตัวเองว่ามีอาการแพ้อาหารหรือไม่ หากกินอาหารบางชนิดแล้วพบว่ามีอาการท้องอืด ปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ อ่อนเพลีย หรือมีกรดไหลย้อน ให้ตั้งข้อสังเกตว่าอาจแพ้อาหาร และหลีกเลี่ยงการกินอาหารชนิดนั้น เป็นวิธีที่จะช่วยให้ระบบทางเดินอาหารดีขึ้น และฟื้นฟูลำไส้ให้กลับคืนสู่ภาวะสมดุลได้

สุดท้ายแล้ว การดูแลสุขภาพลำไส้ก็ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดเพื่อสุขภาพในระยะยาว เพราะอย่างที่เราได้บอกไปแล้วนั้นว่าลำไส้ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ย่อยอาหาร แต่คือ สมองที่สอง” ของร่างกาย ที่ควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ตั้งแต่ระบบภูมิคุ้มกันไปจนถึงสมองของเราเอง การที่เราใส่ใจและบำรุงสุขภาพลำไส้ให้แข็งแรง จึงเป็นเหมือนการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับร่างกายและจิตใจของเรา

ดังนั้น การที่เราหันมาให้ความสำคัญกับ "สุขภาพลำไส้" จึงไม่ใช่แค่การตามกระแส แต่เป็นการเริ่มต้นของการเดินทางสู่ชีวิตที่มีคุณภาพและสุขภาพที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง เพราะสุขภาพที่ดีไม่ได้เริ่มต้นจากภายนอก แต่เริ่มต้นจากภายในที่ลำไส้ของเรานั่นเอง

อ้างอิง

https://www.healthline.com/health/gut-health#gut-microbiome

Gut Health: Why Is It Important? : https://url.in.th/HeRCq

 

Cart

Your cart is currently empty.

Start Shopping

Select options