Skip to content
Login
0

ในยุคที่สื่อสังคมออนไลน์และมาตรฐานเกี่ยวกับความงามและรูปลักษณ์มีอิทธิพลอย่างมากต่อชีวิตประจำวัน ประเด็นเรื่อง Body Image และ Eating Behavior  จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนดูภาพรูปร่างในอุดมคติบนโซเชียลมีเดีย หรือคำโฆษณาที่เน้นการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อวิธีที่เรามองตัวเองและตัดสินใจเกี่ยวกับอาหารที่เราบริโภค วันนี้เราจะมาเจาะลึกถึงแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้กัน ว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างกันยังไง และส่งผลกระทบที่มีต่อภาพลักษณ์ตนเองอย่างไรบ้าง

Body Image คืออะไร?

Body Image หรือ ภาพลักษณ์ทางกาย  ไม่ได้เป็นเพียงแค่สิ่งที่เราเห็นเมื่อมองกระจก แต่เป็นเรื่องของการรับรู้ ความคิด ความรู้สึก และทัศนคติที่เรามีต่อรูปร่างหน้าตาและขนาดของร่างกายเราเอง โดยประกอบไปด้วย

  1. การรับรู้เชิงรูปธรรม (Perceptual Body Image) เรามองเห็นรูปร่างของเราอย่างไร เช่น เราคิดว่าตัวเองผอม อ้วน กล้ามใหญ่ หรือมีสัดส่วนแบบไหน

  2. การรับรู้เชิงอารมณ์ (Affective Body Image) ความรู้สึกที่เรามีต่อรูปร่างของเรา เช่น พอใจ ไม่พอใจ อับอาย กังวล หรือภูมิใจ

  3. การรับรู้เชิงความรู้ความเข้าใจ (Cognitive Body Image) ความคิดและความเชื่อที่เรามีต่อรูปร่างของเรา เช่น เราเชื่อว่ารูปร่างของเราสวยหรือไม่ สอดคล้องกับอุดมคติหรือไม่

  4. การรับรู้เชิงพฤติกรรม (Behavioral Body Image) พฤติกรรมที่เราแสดงออกอันเป็นผลมาจากความคิดและความรู้สึกเกี่ยวกับรูปร่าง เช่น การแต่งกาย การหลีกเลี่ยงสถานการณ์บางอย่าง หรือการออกกำลังกาย

ปัจจุบันนี้ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อ Body Image นั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ประสบการณ์ส่วนตัว การเลี้ยงดู ค่านิยมทางสังคม วัฒนธรรม สื่อมวลชน และเพื่อนร่วมงาน การมี Body Image ที่ดีคือการยอมรับและรู้สึกดีกับรูปร่างของตนเอง ไม่ว่ารูปร่างนั้นจะเป็นอย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน Body Image ที่ไม่ดีหรือไม่เป็นบวกอาจนำไปสู่ความไม่พอใจในรูปร่างของตนเอง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและพฤติกรรมต่าง ๆ

Eating Behavior คืออะไร

Eating Behavior หรือ พฤติกรรมการกิน คือ รูปแบบการบริโภคอาหารของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปริมาณ คุณภาพ เวลา และสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการเลือกและการกินอาหาร ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

  1. พฤติกรรมการกินที่ปกติ (Normal Eating Behavior) 

พฤติกรรมการกินที่ปกติ คือการกินอย่างสมดุลและใส่ใจความต้องการของร่างกาย โดยจะกินเมื่อหิวและหยุดเมื่ออิ่ม มีความสุขกับการกินอาหารที่หลากหลายและได้รับสารอาหารครบถ้วน การกินในลักษณะนี้จะช่วยบำรุงร่างกายและสร้างความพึงพอใจในการบริโภคอาหาร

  1. พฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ (Disordered Eating) 

พฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ เป็นรูปแบบการกินที่เบี่ยงเบนไปจากปกติ แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นโรคทางจิตเวช พฤติกรรมเหล่านี้อาจรวมถึง

  • การจำกัดอาหารอย่างเข้มงวด การงดอาหารบางประเภทหรือลดปริมาณอาหารอย่างมาก

  • การกินมากเกินไป (Binge Eating) การกินอาหารในปริมาณมากอย่างรวดเร็ว โดยรู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้

  • การกินเพื่อระบายอารมณ์ (Emotional Eating) การใช้การกินเป็นวิธีจัดการกับความเครียด ความเศร้า หรืออารมณ์ด้านลบอื่น ๆ

  • การใช้อาหารเป็นเครื่องมือควบคุมน้ำหนัก การหมกมุ่นกับการควบคุมน้ำหนักผ่านการจำกัดอาหารหรือการออกกำลังกายที่มากเกินไป

  1. โรคความผิดปกติทางพฤติกรรมการกิน (Eating Disorders)

โรคความผิดปกติทางพฤติกรรมการกิน เป็นภาวะทางจิตเวชที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งรวมถึง

  • โรคเบื่ออาหาร (Anorexia Nervosa) ผู้ป่วยจะมีความกลัวอย่างมากที่จะน้ำหนักขึ้น มีการจำกัดอาหารอย่างรุนแรง และมองว่าตัวเองอ้วนทั้งที่น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์

  • โรคกินอาหารมากแล้วอาเจียน (Bulimia Nervosa) ผู้ป่วยจะมีพฤติกรรมการกินมากเกินไปและตามด้วยพฤติกรรมชดเชย เช่น การล้วงคออาเจียน การใช้ยาระบาย หรือการออกกำลังกายที่หักโหม

  • โรคกินมากเกินไป (Binge Eating Disorder) ผู้ป่วยจะมีพฤติกรรมการกินอาหารในปริมาณมากผิดปกติซ้ำ ๆ โดยไม่สามารถควบคุมตนเองได้ และรู้สึกผิดหรือละอายใจหลังกิน แต่ไม่มีพฤติกรรมชดเชยเหมือนโรค Bulimia Nervosa

ผลกระทบของ Body Image และ Eating Behavior ต่อภาพลักษณ์ของตนเองที่เกี่ยวกับพฤติกรรมการกิน

ความสัมพันธ์ระหว่าง Body Image และ Eating Behavior เป็นวงจรที่ซับซ้อนและมีอิทธิพลซึ่งกันและกันอย่างมาก การรับรู้เกี่ยวกับรูปร่างของเราสามารถส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมการกิน และในทางกลับกัน พฤติกรรมการกินของเราก็สามารถส่งผลต่อวิธีที่เรารู้สึกเกี่ยวกับรูปร่างของเรา

  • Body Image ที่ไม่ดี ส่งผลต่อ Eating Behavior เมื่อมีความไม่พอใจในรูปร่างของตนเอง (Negative Body Image) พวกเขาอาจพยายามเปลี่ยนแปลงรูปร่างด้วยวิธีการที่ไม่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น

    • การจำกัดอาหารอย่างเข้มงวด (Restrictive Eating) คือ การกินเพื่อลดน้ำหนักหรือคุมรูปร่าง ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็นและอาจนำไปสู่พฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ เช่น โรคอะนอเร็กเซีย เนอร์โวซา (Anorexia Nervosa)

    • การกินแบบควบคุม (Controlled Eating) คือ การจดจ่ออยู่กับการนับแคลอรีหรือการควบคุมอาหารอย่างเข้มงวด ทำให้เกิดความเครียดและอาจนำไปสู่การกินมากเกินไปในภายหลัง

    • การกินตามอารมณ์ (Emotional Eating) คือ การกินเพื่อจัดการกับความรู้สึกเชิงลบที่เกิดจากความไม่พอใจในรูปร่าง เช่น ความเครียด ความเศร้า หรือความกังวล

    • พฤติกรรมการชดเชย (Compensatory Behaviors) คือ หลังจากที่กินมากเกินไป ทำให้รู้สึกผิดและพยายามชดเชยด้วยการอาเจียน การใช้ยาระบาย หรือการออกกำลังกายแบบหักโหม ซึ่งเป็นสัญญาณของโรคบูลิเมีย เนอร์โวซา (Bulimia Nervosa)

    • การหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิด แม้อาหารนั้นจะมีประโยชน์ แต่เชื่อว่าจะทำให้รูปร่างไม่เป็นไปตามที่ต้องการ

  • Eating Behavior ที่ผิดปกติ ส่งผลต่อ Body Image ในทางกลับกันพฤติกรรมการกินที่ไม่สมดุลหรือผิดปกติสามารถส่งผลกระทบต่อรูปร่างและสุขภาพ ซึ่งจะยิ่งเสริมให้ Body Image แย่ลงไปอีก เช่น การกินมากเกินไปอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้รู้สึกไม่พอใจในรูปร่างของตนเองมากขึ้น และวนเวียนอยู่ในวงจรของความไม่พอใจและพยายามที่จะควบคุมการกินอย่างผิด ๆ

สร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้กับ Body Image และ Eating Behavior

โดยรวมแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่าง Body Image และ Eating Behavior เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ค่านิยมความงามถูกกำหนดโดยปัจจัยภายนอกแบบนี้

เพราะฉะนั้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับร่างกาย (Body Image) และพฤติกรรมการกิน (Eating Behavior) จึงเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพกายและใจโดยรวม และนี่คือแนวทางง่าย ๆ ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้

1. ทำความเข้าใจ Body Image

Body Image ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตาของคุณ แต่คือความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ และทัศนคติที่คุณมีต่อร่างกายตัวเอง มันสามารถเป็นได้ทั้งเชิงบวก (รู้สึกดีกับตัวเอง) และเชิงลบ (ไม่พอใจในรูปร่าง)

แนวทางปรับปรุง Body Image เชิงบวก

  • ตระหนักรู้ถึงอิทธิพลภายนอก สื่อสังคมออนไลน์ โฆษณา หรือแม้แต่คำพูดจากคนรอบข้าง ล้วนส่งผลต่อการรับรู้รูปร่างของเรา พยายามเลือกรับข้อมูลเชิงบวก และจำไว้ว่าภาพที่เห็นอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด

  • เน้นสิ่งที่ร่างกายทำได้ แทนที่จะกังวลกับสิ่งที่อยากเปลี่ยนแปลง ลองให้ความสนใจกับความสามารถของร่างกาย เช่น การเดิน การวิ่ง การเต้น หรือการหายใจ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่

  • ดูแลร่างกายด้วยความรัก การออกกำลังกายที่ชอบ การพักผ่อนที่เพียงพอ และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เป็นการแสดงความรักต่อร่างกายของคุณ ไม่ใช่การลงโทษ

  • ฝึกฝนการยอมรับ ทุกคนมีความแตกต่างกัน ไม่มีรูปร่างใดที่ "สมบูรณ์แบบ" การยอมรับและรักในสิ่งที่คุณเป็นคือจุดเริ่มต้นของ Body Image ที่ดี

2. ทำความเข้าใจ Eating Behavior

Eating Behavior คือรูปแบบและเหตุผลเบื้องหลังการเลือกกินอาหารของเรา ไม่ว่าจะเป็นการกินเพราะหิว การกินตามอารมณ์ หรือการกินตามสังคม

แนวทางปรับปรุง Eating Behavior ให้ดีขึ้น

  • ฟังเสียงร่างกาย เรียนรู้ที่จะแยกแยะความหิวที่แท้จริงจากความอยาก หรือการกินตามอารมณ์ ลองถามตัวเองว่า "ฉันหิวจริง ๆ หรือแค่เบื่อ/เครียด?"

  • กินอย่างมีสติ (Mindful Eating) ทานอาหารช้าลง ลิ้มรสชาติ สังเกตเนื้อสัมผัส และกลิ่นของอาหาร การกินอย่างมีสติช่วยให้คุณอิ่มเร็วขึ้นและมีความสุขกับการกินมากขึ้น

  • ไม่ติดป้ายอาหาร "ดี" หรือ "ไม่ดี" อาหารทุกชนิดสามารถเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีได้ ตราบใดที่คุณทานในปริมาณที่เหมาะสม การห้ามตัวเองมากเกินไปอาจนำไปสู่การกินมากเกินไปในภายหลัง

  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หากคุณมีปัญหาเรื่องพฤติกรรมการกินที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน เช่น การกินมากเกินไปจนควบคุมไม่ได้ หรือมีความกังวลเรื่องน้ำหนักมากผิดปกติ การปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการจะช่วยให้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสม

สุดท้ายนี้ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับร่างกายและพฤติกรรมการกินนั้นไม่ใช่เรื่องของการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ "สมบูรณ์แบบ" แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะรัก เคารพ และดูแลร่างกายของคุณอย่างแท้จริง การทำความเข้าใจความรู้สึกต่อรูปร่าง และการเลือกกินอาหารอย่างมีสติ จะช่วยให้คุณมีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรงและมีความสุขในแบบของคุณเอง จำไว้ว่าทุกอย่างต้องใช้เวลาและความอดทน แต่ผลลัพธ์ที่คุณจะได้รับนั้นคุ้มค่าเสมอ

Cart

Your cart is currently empty.

Start Shopping

Select options