ข้ามไปที่เนื้อหา
เข้าสู่ระบบ
0

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัจจุบันนี้ผู้คนหันมาใส่ใจเรื่องของสุขภาพกันมากขึ้น การมองหาอาหารที่มีประโยชน์และเสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรงคือสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญ และหนึ่งในสารอาหารที่ถูกพูดถึงบ่อยและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายคงหนีไม่พ้น Omega 3 ชื่อของ "โอเมก้า 3" กลายเป็นหนึ่งในสารอาหารที่ถูกพูดถึงบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารเสริม, ฉลากนมสำหรับเด็ก, บทความด้านสุขภาพต่าง ๆ, หรือแม้แต่บทสนทนาในชีวิตประจำวัน จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมใครหลาย ๆ คนอาจจะคุ้นเคยกับคำนี้เป็นอย่างดี

แต่เบื้องหลังความคุ้นเคยนี้ หลายคนอาจยังไม่เข้าใจว่า แท้จริงแล้ว "โอเมก้า 3" คืออะไร? ทำไมจึงมีความสำคัญต่อร่างกายของเรา? และไขมันดีนี้มีประโยชน์อย่างไรบ้าง? บทความนี้เราจะพาทุกคนไปเจาะลึกทุกแง่มุมของโอเมก้า 3 เพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้โอเมก้า 3 ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุดค่ะ

โอเมก้า 3 (Omega 3) คือกลุ่มของกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fatty Acids หรือ PUFAs) ซึ่งเป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกาย แต่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น โอเมก้า 3 มีบทบาทสำคัญในการเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ทั่วร่างกาย และมีส่วนช่วยในการทำงานของระบบต่าง ๆ โดยโอเมก้า 3 มีหลายชนิด แต่ชนิดที่สำคัญและเป็นที่รู้จักมากที่สุดมี 3 ชนิดหลัก ๆ ได้แก่

  • ALA (Alpha-Linolenic Acid) เป็นโอเมก้า 3 ชนิดที่พบมากในพืช เช่น เมล็ดแฟลกซ์ (flaxseed), เมล็ดเจีย (chia seed) และวอลนัท (walnut) ซึ่งร่างกายสามารถเปลี่ยน ALA ไปเป็น EPA และ DHA ได้ แต่ในปริมาณที่ค่อนข้างน้อย

  • EPA (Eicosapentaenoic Acid) เป็นโอเมก้า 3 จากอาหารทะเล ที่พบมากในปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน, ปลาแมคเคอเรล, ปลาทูน่า และสาหร่ายบางชนิด โดย EPA ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด ป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองอุดตัน นอกจากนี้ยังช่วยในการบรรเทาอาการข้อเข่าเสื่อม และโรคไขข้ออักเสบ 

  • DHA (Docosahexaenoic Acid) เป็นโอเมก้า 3 ที่พบมากจากอาหารทะเล ในแหล่งเดียวกับ EPA โดยเฉพาะในสมองและจอประสาทตา ซึ่ง DHA มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสมอง และดวงตา โดยเฉพาะในวัยเด็กและผู้สูงอายุ ช่วยเสริมสร้างและป้องกันการเสื่อมของสมอง การเรียนรู้ ความจำ ตลอดจนระบบการมองเห็นให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ น้ำมันปลาที่มีกรดโอเมก้า 3 จึงมีความจำเป็นต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดนั่นเอง 

โอเมก้า 3 ทำงานอย่างไร?

โอเมก้า 3 คือหนึ่งในกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนที่จำเป็นต่อร่างกายของเราอย่างมาก ซึ่งมีหน้าที่สำคัญหลายอย่าง เช่น

  • สร้างและซ่อมแซมเซลล์ โอเมก้า 3 เป็นส่วนประกอบสำคัญของผนังเซลล์ ทำให้เซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกายทำงานได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์สมองและเซลล์ดวงตา

  • ให้พลังงาน นอกจากนี้ โอเมก้า 3 ยังเป็นแหล่งพลังงานให้ร่างกายนำไปใช้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ และยังช่วยให้ระบบหัวใจ หลอดเลือด และระบบต่อมไร้ท่อทำงานได้เป็นปกติด้วย

ประโยชน์ของโอเมก้า 3

โอเมก้า 3 คือกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ จึงต้องได้รับจากการบริโภคอาหารเท่านั้น กรดไขมันชนิดนี้มีความสำคัญต่อสุขภาพอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการช่วยลดการอักเสบภายในร่างกายที่อาจนำไปสู่โรคต่าง ๆ ได้ เช่น

  • บำรุงหัวใจและหลอดเลือด โอเมก้า 3 ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง โดยช่วยลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ทำให้หลอดเลือดไม่อุดตัน และช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นไขมันชนิดไม่ดี

  • ช่วยลดความดันโลหิต โอเมก้า 3 ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว เลือดจึงไหลเวียนได้สะดวกขึ้น ทำให้ความดันโลหิตลดลง

  • บรรเทาอาการปวดข้อ สำหรับผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ การรับประทานโอเมก้า 3 ควบคู่ไปกับการรักษาทางการแพทย์จะช่วยลดอาการปวด บวม และตึงตามข้อต่อได้

  • บำรุงสมองและป้องกันโรคอัลไซเมอร์ โอเมก้า 3 โดยเฉพาะ DHA มีส่วนช่วยบำรุงสมอง เพิ่มความจำ และช่วยลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ได้

  • ช่วยควบคุมเบาหวาน ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 การได้รับ EPA จากโอเมก้า 3 มีส่วนช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

  • บรรเทาอาการไมเกรนและหอบหืด โอเมก้า 3 ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดไมเกรนและหอบหืด ทำให้ช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้

  • บำรุงสุขภาพตา งานวิจัยบางชิ้นชี้ว่าการกินอาหารที่มีโอเมก้า 3 สูงอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ แต่ไม่ได้ช่วยให้อาการของโรคดีขึ้นแต่อย่างใด

ข้อเสียจากการขาดโอเมก้า 3 

อย่างที่เราได้บอกในข้างต้นแล้วว่าโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้ ถ้าเราได้รับโอเมก้า 3 ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพหลายด้าน ได้แก่

ผลกระทบทางร่างกาย

  • ผิวหนังและเส้นผม ผิวแห้ง ระคายเคือง เป็นสิว ผมร่วง ผมแห้งเปราะบาง

  • สุขภาพข้อต่อ อาการปวดข้อหรือข้ออักเสบเพิ่มขึ้น

  • ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ทำให้เจ็บป่วยและติดเชื้อได้ง่าย

  • ปัญหาสายตา ตาแห้ง และอาจมีปัญหาสายตาในเด็ก

  • สุขภาพหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด

ผลกระทบทางระบบประสาทและสมอง

  • ความจำและการเรียนรู้ ความจำไม่ดี สมาธิลดลง และอาจส่งผลต่อการทำงานของสมอง

  • อารมณ์ อารมณ์แปรปรวน ภาวะซึมเศร้า หรือความเครียด

  • พัฒนาการของทารก ทารกในครรภ์ที่ไม่ได้รับโอเมก้า 3 จากมารดาอย่างเพียงพอ อาจมีความเสี่ยงต่อปัญหาการมองเห็นและระบบประสาท

แหล่งอาหารที่มีโอเมก้า 3 

จริง ๆ แล้วแหล่งที่มาของโอเมก้า 3 มีทั้งจากธรรมชาติและในรูปแบบอาหารเสริม โดยแบ่งออกเป็นประเภทหลัก ๆ ดังนี้

1. จากสัตว์ (มี EPA และ DHA)

  • ปลาทะเลน้ำลึก เป็นแหล่งโอเมก้า 3 ที่ดีที่สุดและร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันที เช่น ปลาแซลมอน, ปลาแมคเคอเรล, ปลาซาร์ดีน, ปลาทูน่า, ปลาเฮอร์ริ่ง และปลาทู

  • อาหารทะเลอื่นๆ หอยนางรม และหอยแมลงภู่ ก็เป็นแหล่งของโอเมก้า 3 เช่นกัน

  • ปลาน้ำจืด ปลาบางชนิดที่หาทานได้ง่ายในไทยก็มีโอเมก้า 3 เช่น ปลากะพงขาว และปลานิล

2. จากพืช (มี ALA)

  • เมล็ดพืช เมล็ดแฟลกซ์, เมล็ดเจีย, ควินัว, เมล็ดกัญชง

  • ถั่ว ถั่ววอลนัท, ถั่วเหลือง

  • น้ำมันพืช น้ำมันคาโนลา, น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์

  • ผักใบเขียว ผักปวยเล้ง และผักตระกูลกะหล่ำ เช่น บรอกโคลี

3. จากอาหารเสริม อาหารเสริมโอเมก้า 3 มักมาในรูปแบบของ "น้ำมันปลา" (fish oil) ซึ่งมี EPA และ DHA เป็นส่วนประกอบหลัก นอกจากนี้ยังมีน้ำมันจากสาหร่าย (algal oil) ซึ่งเป็นอีกทางเลือกที่ได้รับความนิยม

4. น้ำมันพืช น้ำมันพืชบางชนิดอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 เช่น น้ำมันถั่วเหลือง หรือน้ำมันคาโนล่า โดยสามารถนำน้ำมันพืชเหล่านี้มาปรุงอาหารได้

สุดท้ายนี้ การได้รับ “โอเมก้า 3” อย่างเพียงพอนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อร่างกาย โดยเฉพาะการเลือกรับประทานอาหารที่มีโอเมก้า 3 สูง เช่น ปลาทะเลน้ำลึก, ถั่ว, และเมล็ดพืชต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่หลากหลายในแต่ละวัน เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการได้รับสารอาหารที่จำเป็นนี้ แต่หากคุณไม่สามารถบริโภคอาหารเหล่านี้ได้อย่างสม่ำเสมอ การเลือก ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ อย่างไรก็ตาม ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานและควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอ 

แต่ไม่ว่าจะเลือกวิธีใด สิ่งสำคัญคือการรับประทานโอเมก้า 3 ในปริมาณที่พอเหมาะ ควบคู่ไปกับการ ออกกำลังกาย และ พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุด และรักษาสมดุลสุขภาพโดยรวมไว้นั่นเองค่ะ

รถเข็น

ขณะนี้รถเข็นของคุณว่างเปล่า

เริ่มช้อปปิ้ง

เลือกตัวเลือก