ปฏิเสธไม่ได้เลยนะคะว่าในชีวิตประจำวันของใคร ๆ หลายคนนั้น "น้ำอัดลม" ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องดื่มที่ใช้ดับกระหาย แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นเครื่องดื่มคู่มื้ออาหารจานโปรด เป็นสัญลักษณ์ของความสดชื่นในยามบ่ายที่ง่วงซึม หรือเป็นรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ หลังจากการทำงานหนักมาทั้งวัน ด้วยรสชาติที่หวานซ่าดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น รวมถึงเข้าถึงได้ง่าย มีขายทั้งในร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหารเกือบทุกแห่ง จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมน้ำอัดลมจึงกลายเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในทุกเพศทุกวัย
แต่ภายใต้ความซ่าที่แสนสดชื่นนี้ หลายคนอาจหลงลืมไปว่าการดื่มน้ำอัดลมอย่างต่อเนื่องและในปริมาณมากนั้น ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างคาดไม่ถึง วันนี้เราจะพาคุณไปสำรวจเบื้องหลังความอร่อยของน้ำอัดลมกันว่ามีผลกระทบต่อสุขภาพยังไงบ้าง รวมถึงน้ำอัดลมมีน้ำตาลกับไม่มีน้ำตาล อย่างไหนอันตรายกว่ากัน? ไปจนถึงแนวทางในการควบคุมการดื่มน้ำอัดลมเพื่อสุขภาพที่ดีกันค่ะ
“น้ำอัดลม” เครื่องดื่มเติมความสดชื่นยอดนิยมที่หลายคนไม่อาจหักห้ามใจ แต่รู้หรือไม่ว่าเครื่องดื่มสุดโปรดของใครหลาย ๆ คนนี้ เป็นเครื่องดื่มที่เรียกได้ว่ามีน้ำตาลสูง อีกทั้งไม่มีคุณค่าทางสารอาหารแถมยังให้แคลอรีในปริมาณมากอีกด้วย
แต่ในยุคที่ผู้คนเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพ น้ำอัดลมที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ จึงถูกปรับให้ดูอันตรายน้อยลง เช่น การใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลหรือน้ำตาลเทียม ซึ่งจะช่วยลดปริมาณแคลอรีที่ได้รับให้น้อยลงหรือไม่มีแคลอรี รวมถึงยังมีการเติมวิตามินแร่ธาตุต่าง ๆ เข้าไปเป็นหนึ่งในส่วนประกอบ ทว่าการใช้สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลนั้นปลอดภัยจริงหรือเปล่านั้นต้องมาดูกันเลย
น้ำอัดลมดื่มเยอะมีความเสี่ยงต่อสุขภาพยังไงบ้าง
การดื่มน้ำอัดลมในปริมาณมากและเป็นประจำก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพในหลายมิติ เนื่องจากน้ำอัดลมส่วนใหญ่มีส่วนประกอบหลักคือ น้ำตาลในปริมาณสูงและกรดคาร์บอนิก ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อร่างกายโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น
-
โรคอ้วนและเบาหวานประเภทที่ 2 การบริโภคน้ำตาลในปริมาณสูงจากน้ำอัดลมเป็นสาเหตุหลักของภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน น้ำตาลที่ร่างกายได้รับอย่างรวดเร็วจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานส่วนเกินและสะสมเป็นไขมัน นอกจากนี้ การที่ร่างกายต้องผลิตอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างต่อเนื่อง ทำให้เซลล์เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่โรคเบาหวานประเภทที่ 2
-
ปัญหาสุขภาพฟัน น้ำตาลในน้ำอัดลมเป็นนั้นอาหารชั้นดีของแบคทีเรียในช่องปาก ซึ่งจะสร้างกรดออกมาทำลายเคลือบฟัน ทำให้เกิดฟันผุ นอกจากนี้น้ำอัดลมยังมีกรดคาร์บอนิกและกรดฟอสฟอริก ซึ่งเป็นกรดที่กัดกร่อนเคลือบฟันโดยตรง ทำให้ฟันสึกกร่อนและไวต่อความรู้สึก
-
ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด การศึกษาหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่าการดื่มน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลเป็นประจำมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคหัวใจและหลอดเลือด ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงอย่างต่อเนื่องสามารถทำให้หลอดเลือดอักเสบและเกิดภาวะไขมันในเลือดสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง
น้ำอัดลมธรรมดา กับน้ำอัดลมที่ไม่มีน้ำตาล (Diet/Zero Sugar) มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง?
ในปัจจุบัน ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้นด้วยน้ำอัดลมที่ไม่มีน้ำตาล (Diet/Zero Sugar) ซึ่งใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล (Artificial Sweeteners) เช่น แอสปาร์เทม (Aspartame) หรือซูคราโลส (Sucralose) เพื่อคงรสชาติความหวานโดยไม่มีแคลอรี
-
ความเหมือน ทั้งน้ำอัดลมธรรมดาและน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาล ให้รสชาติที่ซ่าและหวานคล้ายคลึงกัน มีกรดคาร์บอนิกเป็นส่วนประกอบหลัก และยังสามารถทำให้ฟันสึกกร่อนได้เช่นกัน
-
ความแตกต่าง
-
แคลอรีและน้ำตาล น้ำอัดลมธรรมดามีน้ำตาลและแคลอรีในปริมาณสูงมาก (น้ำอัดลมขนาด 355 มิลลิลิตร มีน้ำตาลประมาณ 35-40 กรัม หรือเทียบเท่ากับน้ำตาลประมาณ 8-10 ช้อนชา) ในขณะที่น้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลแทบไม่มีแคลอรีและน้ำตาลเลย
-
ผลกระทบต่อสุขภาพ แม้ว่าน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลจะช่วยลดการบริโภคน้ำตาลและแคลอรีได้ แต่ก็ยังคงมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับผลกระทบของสารให้ความหวานแทนน้ำตาลต่อสุขภาพในระยะยาว การศึกษาบางชิ้นพบว่าการบริโภคสารให้ความหวานแทนน้ำตาลอาจส่งผลต่อจุลินทรีย์ในลำไส้ (Gut Microbiome) และอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคเมตาบอลิกในระยะยาวได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แนะนำให้ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลด้วยความระมัดระวังและไม่ควรใช้เพื่อลดน้ำหนัก
ดื่มน้ำอัดลมมาก ๆ เสี่ยงกับโรคอะไรบ้าง
นอกเหนือจากโรคอ้วนและเบาหวานที่กล่าวมาข้างต้น การดื่มน้ำอัดลมมากเกินไปยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอื่น ๆ ได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น
-
โรคกระดูกพรุน กรดฟอสฟอริกในน้ำอัดลมบางชนิดอาจเข้าไปรบกวนสมดุลของแคลเซียมในร่างกาย ทำให้ร่างกายต้องดึงแคลเซียมจากกระดูกมาใช้เพื่อรักษาสมดุล ส่งผลให้กระดูกบางลงและเพิ่มความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนในระยะยาว
-
ภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (NAFLD) การบริโภคน้ำตาลฟรุกโตส (Fructose) ในปริมาณสูงจากน้ำอัดลมสามารถส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับโดยตรง ฟรุกโตสจะถูกเผาผลาญที่ตับและเปลี่ยนเป็นไขมันในที่สุด ทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคตับแข็งในระยะยาวได้
-
ภาวะความดันโลหิตสูง การบริโภคน้ำตาลในปริมาณสูงมีความเชื่อมโยงกับภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคหัวใจและหลอดเลือด
ถ้าจะควบคุมการดื่มน้ำอัดลมเพื่อสุขภาพที่ดี ควรเริ่มจากไหนและทำยังไงบ้าง
สำหรับใครที่ติดน้ำอัดลม การเอาชนะความอยากและความกระหายอาจเป็นเรื่องยาก แต่การลดหรือเลิกดื่มน้ำอัดลมได้ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การมีสุขภาพที่ดีขึ้น ถ้าใครไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน เรามีแนวทางในการลดน้ำอัดลมอย่างได้ผลที่สามารถทำตามอย่างค่อยเป็นค่อยไป มาฝากกัน
-
ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน เริ่มต้นจากการตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ เช่น "จะลดการดื่มน้ำอัดลมจากวันละ 2 ขวด เหลือสัปดาห์ละ 1 ขวด" หรือ "จะดื่มน้ำอัดลมเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์"
-
ค่อย ๆ ลดปริมาณ หากไม่สามารถเลิกดื่มได้ทันที ให้ลองลดปริมาณการดื่มลงทีละน้อย อาจจะเปลี่ยนจากขวดใหญ่เป็นขวดเล็ก หรือผสมน้ำเปล่าลงไปในน้ำอัดลมเพื่อเจือจางความหวาน
-
หันมาดื่มเครื่องดื่มทางเลือก ลองหันมาดื่มน้ำเปล่า, น้ำเปล่าผสมมะนาวฝาน, ชาสมุนไพรไม่เติมน้ำตาล, หรือน้ำผลไม้คั้นสดที่ไม่ผ่านกระบวนการปรุงแต่ง แต่น้ำเปล่าเป็นเครื่องดื่มที่ดีที่สุดในการดับกระหายและให้ความชุ่มชื้นแก่ร่างกาย
-
หาสาเหตุที่อยากดื่ม สังเกตว่าคุณมักจะดื่มน้ำอัดลมเมื่อไหร่ เช่น ดื่มตอนกินข้าว ดื่มตอนเครียด หรือดื่มเพราะเบื่อ เมื่อรู้สาเหตุแล้วก็สามารถหาทางแก้ไขได้ เช่น หากรู้สึกอยากเครื่องดื่มที่มีรสซ่ามาก ๆ ให้ลองดื่มโซดาผสมกับสารแต่งรสที่ไม่มีแคลอรี
-
ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ ลองหันมาออกกำลังกาย และเข้านอนแต่หัวค่ำ เพราะการมีสุขภาพร่างกายที่ดี จะช่วยลดความอยากอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีประโยชน์ได้
สุดท้ายนี้ แม้ว่าน้ำอัดลมจะมอบความสดชื่นและรสชาติที่ถูกใจ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงต่อสุขภาพที่ไม่อาจมองข้ามได้ ทางที่ดีควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสม หรือจะลองลดการดื่มและหันมาดื่มน้ำเปล่าแทนก็ได้ เพราะการดื่มน้ำเปล่าอย่างเพียงพอจะช่วยลดความอยากน้ำอัดลม และยังทำให้ร่างกายสดชื่นและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าทำได้จะถือเป็นก้าวสำคัญในการดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงและห่างไกลจากโรคร้ายต่าง ๆ ในระยะยาว เพราะสุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากการที่เราเลือกสิ่งดี ๆ ให้กับร่างกายในทุกวันนั่นเอง